การเข้าปะทะ ผู้เล่นโดนสไลด์ วาจาเชิงยียวน ทำลายสมาธิคู่แข่ง คือ แทคติก ของนักกีฬาฟุตบอล ที่จะทำทุกวิถีทางให้คู่แข่งต้องเสียสมาธิในการแข่งขันภายใน 90 นาที จนในบางครั้งเกิดเหตุการณ์ที่พาเอาคนดูคิดว่า เปิดผิดช่องรึเปล่าว่ะเนี้ย นี่ดูบอลหรือดูมวยไทย 7 สี อยู่กันแน่ คุณสมบัติของนักเตะอย่างที่เรารู้ เลี้ยงบอลดี, มีวิศัยทัศน์ดี, จบสกอร์ยอดเยี่ยม, แต่ส่วนมากนักฟุตบอลระดับโลกที่เราเห็นในบางครั้ง ก็คุมอารมณ์และการมีสมาธิกับเกมการแข่งขันไว้ไม่อยู่ จากการที่คู่แข่งได้มาปั่นให้หัวร้อน จนเกิดเป็นการชกต่อยกันในสนามกันในตอนนี้เลย
นักเตะเหล่านี้ที่มีความอดทนน้อยกว่าอารมณ์โมโหมันเป็นผลร้ายต่อสโมสร แต่ดันมีผลดีกับเหล่าเซียนพนันบอล พนันบอลออนไลน์ ที่ชอบการแทงบอลรายการทายใบเหลือง-ใบแดง เรียกได้ว่าถ้าทีมที่คุณเดิมพันเอาไว้มีนักเตะจุดเดือดต่ำพวกนี้อยู่แล้วละก็ “รอรับได้เลย ไม่มีบิดพริ้ว” เดียวผมจะพามารู้จักกับ สุดยอดนักบอลที่ถือว่ามีจุดเดือดทางอารณ์โมโหต่ำที่สุดกัน นักเตะคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นั้นคือ
เอริก คันโตน่า : สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
“The King” นี้คือ ฉายา ที่บรรดาแฟนบอลปีศาจแดง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ได้ตั้งให้กับนักฟุตบอลแห่งศตวรรษของพวกเขา “ก็องโต้” ได้นำพาความสำเร็จมาให้สโมสรอย่างมากมาย แต่ “ก็องโต้” มีจุดอ่อนอยู่ที่อารมณ์ที่มันพร้อมจะระเบิดใส่คู่แข่งได้ตลอดเวลา แต่เนื่องด้วย “เฟอร์กี้” ผู้จัดการทีมแมนยู ที่ “ก็องโต้” ยกย่องให้เป็นเหมือนกับพ่อคนที่ 2 ของเขา ได้เฝ้าอบรมเขาจน “ก็องโต้” กลายมาเป็น นักเตะที่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมที่สุดของโลกคนหนึ่งในเวลานั้น หลังจากนั้น ในวันที่ 25 มกราคม ปี 1995 เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในเกมที่ “แมนยู” พบกับ “คริสตัล พาเลส” คันโตน่าได้โดนใบแดงไล่ออกจากสนามจากกรณีที่เขาได้ไปเตะเอาคืน “ริชาร์ด ชอว์ล” ปราการหลังของ พาเลส ที่ได้มาดึงเขา แต่เรื่องที่ทุกคนในสนาม ณ เวลานั้นจำกันไปแบบที่ไม่มีวันลืม คือ ช่วงที่ “คันโตน่า” กำลังจะเดินออกจากสนาม มีแฟนบอลของทางฝั่ง “คริสตัล พาเลส” ได้ตะโกนด่า “คันโตน่า” เสียๆหายๆ แต่เสียงด่าที่ทำให้“คันโตน่า”ถึงกับปรอทแตกนั้นคือ เสียงด่าจากแฟนบอลที่มีชื่อว่า “แมททิว ซีม่อน” เขาได้ตะโกนด่า พ่อแม่และครอบครัวของ “คันโตน่า”
พอสิ้นเสียงด่า “คันโตน่า” ก็ได้กระโดดถีบไปที่ “แมททิว ซีม่อน”แบบเต็มๆแถมปล่อยหมัดไปอีก 2 ที หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้น บรรดาแฟนบอลและสื่อก็ได้ตั้งชื่อท่ากระโดถีบของ “คันโตน่า” เอาไว้ว่า “กังฟูคิก”